กลวิธีของการประพันธ์ คือ วิธีการประพันธ์ในแบบเฉพาะของผู้ประพันธ์แต่ละคน
หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าลีลาการประพันธ์ โดยการศึกษากลวิธีการประพันธ์นั้น ผู้เรียนสามารถพิจารณาได้จากเรื่องต่างๆดังนี้
1. การเลือกสรรวัตถุดิบ (material)
2. การกำหนดแนวเรื่อง
(theme)
3. การลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง
(plot)
4. การสร้างตัวละคร
(characterization)
5. การสร้างฉาก (Scene)
6. วิธีการนำเสนอผลงาน
(presentation)
7. กรรมวิธีเบ็ดเตล็ด
(Other creators)
ในบทนี้
จะนำเสนอการศึกษาใน 3 ข้อแรก
เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาวรรณคดี ส่วนอีก 4ข้อ
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในบทต่อไป
1.การเลือกสรรวัตถุดิบ (material)
วัตถุดิบ
คือส่วนประกอบที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดี ซึ่งผู้ประพันธ์จะนำวัตถุดิบที่หลากหลายมาใช้เพื่อสร้างสรรค์วรรณคดีแต่ละเรื่อง ซึ่งแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่กวีหรือนักประพันธ์เลือกมาปรุงแต่งวรรณคดี
อาจมาจากหลายแหล่งประกอบกัน เช่น
1.1
จินตนาการ วรรณคดีหลายเรื่อง
ผู้ประพันธ์จะเสริมเติมแต่งตามจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์ของตน
เพื่อให้วรรณคดีเรื่องนั้นๆ มีความน่าสนใจ
ซึ่งจินตนาการของผู้ประพันธ์มีส่วนสำคัญที่สร้างอารมณ์ ความรู้สึกร่วม
และสร้างความสนุกสนานให้กับผู้อ่านวรรณคดีบางเรื่องที่นำเสนอเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น
ผู้อ่านจะไม่ค่อยสนใจนัก
1.2
ธรรมชาติ ธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบที่ผู้ประพันธ์สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเรื่องราวได้ทั้งสิ้น
โดยวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาตินั้น
ผู้ประพันธ์อาจนำมาใช้เป็นแนวเรื่องหลักของเรื่องก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพียงฉาก
ประกอบเพื่อให้เกิดความสมจริง
1.3 สังคมและวัฒนธรรม วัตถุดิบข้อนี้จะละไปเสียไม่ได้
เนื่องจากวรรณคดีทุกเรื่องจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสังคมและวัฒนธรรมอยู่ทั้งนั้น
โดยในบางครั้งอาจเป็นเรื่องของความคิดความเชื่อของคนในสังคม ค่านิยม ความดีงามต่าง
ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มาจากวัตถุดิบข้อนี้
1.4
อัตชีวประวัติและชีวประวัติ วรรณคดีในรูปแบบอัตชีวประวัติและชีวประวัติ
มีปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีวรรณคดีประเภทนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งวัตถุดิบข้อนี้ผู้ประพันธ์อาจใช้การศึกษาเพื่อสร้างตัวละครให้เกิดความสมจริงตามชีวประวัติ ของตัวละคร
หรืออาจจะเขียนในเชิงสารคดีก็มีปรากฏอยู่
1.5
ศาสนา ความเชื่อทางศาสนามีปรากฏในวรรณคดีหลายเรื่อง
โดยที่บางเรื่องนำเรื่องราวทางศาสนามาเป็นแนวเรื่องหลัก
เพื่อเน้นให้คนในสังคมตระหนักถึงการทำดี ละเว้นความชั่ว
ซึ่งนอกจากความเชื่อทางศาสนาแล้วนั้น ยังมีประเพณี พิธีกรรมทางศาสนา
ที่ผู้ประพันธ์นำมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างวรรณคดี
1.6
วรรณคดีต่างภาษา วัตถุดิบในข้อนี้ แสดงให้เห็นอิทธิพลของภาษาอื่น
หรือ
วัฒนธรรมประเทศอื่น
ที่เข้ามาในประเทศไทย โดยวรรณคดีหลายๆเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็น วรรณคดีชั้นเอกของชาตินั้นๆ
นักประพันธ์ก็อาจจะนำมาแปล หรือใช้แนวเรื่องของชาตินั้น แต่นำมาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพสังคมในประเทศของตน
1.7
ตำนาน หรือ นิทานชาวบ้าน นักประพันธ์หลายท่านได้นำตำนานต่างๆ
มาเป็นส่วนหนึ่งในวรรณคดี เพื่อทำให้วรรณคดีเรื่องนั้นมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
แม้กระทั่งนิทานชาวบ้าน ก็เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่นักประพันธ์จะนำมาร้อยเรียงเรื่องราวให้น่าสนใจยิ่งขึ้น
เพื่อนำเสนอผลงานต่อไป
1.8
ผลของการศึกษาค้นคว้า วัตถุดิบข้อนี้
ดูเหมือนจะไม่ได้รับความนิยม แต่ในความเป็นจริงแล้ว
งานประพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่ เกี่ยวข้องกับสังคม
ในบางครั้งนักประพันธ์ก็มีการศึกษาจากผลการศึกษาค้นคว้าของผู้อื่น เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในการนำไปเรียบเรียงเรื่องราว
ให้น่าสนใจ และมีความสมจริง
นอกจากวัตถุดิบที่กล่าวมาแล้ว
นักประพันธ์แต่ละคนอาจมีวัตถุดิบอื่นๆอีกหลากหลายที่นำมาใช้เป็นต้นทุนในการเขียน
เพื่อให้สามารถที่จะเขียนเรื่องราวหรือกำหนดแนวเรื่องต่อไปได้
จากการที่ผู้สอนได้ศึกษาวรรณคดีสมัยต่างๆ
พบว่านักประพันธ์ส่วนใหญ่จะใช้มากกว่า 1 วัตถุดิบ สำหรับประพันธ์วรรณคดีในแต่ละเรื่อง
เช่น
เรื่องมัทนะพาธา
บทละครพูดซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ปรากฏวัตถุดิบที่สำคัญในเรื่องมัทนะพาธา เช่น จินตนาการ ธรรมชาติ สังคมวัฒนธรรม เป็นต้น โดยวัตถุดิบที่นำมาใช้มากที่สุดคือ
จินตนาการ ซึ่งกวีได้สร้างฉาก สร้างเรื่องราวบน สวรรค์
บนโลก เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆให้สนุกสนานและน่าสนใจ
(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2551)
เรื่องไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
หรือบางเล่มเขียนว่า เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิกถา เป็นวรรณคดีที่สำคัญทางพุทธศาสนา
โดยพญาลิไท ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ขึ้น วัตถุดิบที่สำคัญในเรื่องไตรภูมิพระร่วง
คือ ศาสนาและจินตนาการ
โดยผู้เขียนได้นำหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธมาประกอบเรื่องราว
มีการแทรกประวัติสาวกของพระพุทธเจ้า
ส่วนจินตนาการนั้น
ผู้เขียนได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคนในทวีปต่างๆ ลักษณะของคนในทวีปต่างๆ
เขาพระสุเมรุ เป็นต้น
(พญาลิไทย,
2527)
2.
การกำหนดแนวเรื่อง (theme)
ผู้ประพันธ์วรรณคดี จะต้องกำหนดแนวเรื่องของวรรณคดีนั้น
ก่อนที่จะลงมือสร้างสรรค์
การศึกษาแนวเรื่องจะทำให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้ประพันธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งนักเขียนแต่ละคนมีวิธีกำหนดแนวเรื่องหลายวิธี
ซึ่งแต่ละวิธีนั้นอาจให้ความสำคัญต่างกัน ในที่นี้จะขอเรียกว่า แนวเรื่องหลัก
และแนวเรื่องย่อย เช่น
2.1 การกำหนดแนวเรื่องที่เน้นอารมณ์ของเรื่องเป็นหลัก
จากการศึกษาของผู้สอนพบว่า
วรรณคดีไทยส่วนใหญ่จะใช้แนวเรื่องประเภทนี้เป็นส่วนหนึ่ง เนื่องจากแนวเรื่องประเภทนี้จะเน้นอารมณ์ที่มากระทบจิตใจของผู้อ่านเป็นหลัก
ซึ่งสามารถสร้างสรรค์งานได้หลากหลาย และทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ตามไปกับเรื่อง ทั้งอารมณ์รัก
อารมณ์โศกเศร้า อารมณ์ขัน เป็นต้น ตัวอย่าง วรรณคดีที่ใช้ความสะเทือนอารมณ์เป็นแนวเรื่อง
เช่น เรื่องลิลิตพระลอ
แนวเรื่องในลิลิตพระลอนั้น
แนวเรื่องหลักที่ปรากฏจะเน้นในอารมณ์รัก คือ ความรักของแม่ ซึ่งแนวเรื่องนี้ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นผ่านตัวละครที่แสดงเป็นแม่
คือ พระนางบุญเหลือที่รักลูกชายคือพระลอมาก
และ พระนางดาราวดีที่รักลูกสาว คือพระเพื่อนพระแพงมาก อีกแนวเรื่องหลักที่ปรากฏคือ
ความรักของหนุ่มสาว ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆตามมาในเรื่อง
(กรมศิลปากร, 2506)
2.2 การกำหนดแนวเรื่องด้วยการที่ผู้เขียนเจาะจงลักษณะของเนื้อหา
แนวเรื่องประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับการเมือง
ศาสนา สังคมวัฒนธรรม เป็นต้น โดยวรรณคดีที่ใช้แนวเรื่องประเภทนี้ก็มีเป็นจำนวนมาก
เช่น สามกรุง
แนวเรื่องที่ปรากฏในเรื่องสามกรุง
แนวเรื่องหลักที่ปรากฏ ได้แก่ ประวัติศาสตร์ชาติไทย
และการเมืองการปกครองในประเทศไทย ส่วนแนวเรื่องรองหรือแนวเรื่องย่อย ได้แก่
สภาพสังคม วิถีชีวิตของคนไทย ความเชื่อของคนไทย
(พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์,
2505)
2.3 การกำหนดแนวเรื่องด้วยการใช้แนวเรื่องแบบฉบับ
(Type)
แนวเรื่องประเภทนี้จะกำหนดรูปแบบแนวเรื่องไว้อย่างชัดเจน
เช่น แนวเรื่องวีรบุรุษ เรื่องโรบินฮู๊ด เฮอร์คิวลิส ไกรทอง เป็นต้น
2.4 การกำหนดแนวเรื่องด้วยการใช้นามธรรมเป็นแนวเรื่อง
วรรณคดีไทยใช้นามธรรมเป็นแนวเรื่องหลายเรื่องด้วยกัน
เช่น ความดีความชั่ว
ความกตัญญู
ความเพียร เป็นต้น ตัวอย่างเรื่อง
มหาภารตยุทธ
โดยแนวเรื่องหลักในมหาภารตยุทธ
คือ อิทธิพลของกิเลสมนุษย์ ธรรมมะชนะอธรรม
ผลของความดีและความชั่วจากการกระทำของมนุษย์
ส่วนแนวเรื่องย่อย ในมหาภารตะยุทธ มีหลายแนว เช่น ความซื่อสัตย์
ความจงรักภักดี ความรักของพ่อแม่(ทุรโยธน์-ท้าวธฤตฺราษฎร นางกุนฺตี-เหล่าปาณฑพ)
ความรักหนุ่มสาว (นางเทราปที-เหล่าปาณฑพ) ความรักของพี่น้อง(เหล่าปาณฑพ) ความอดทน ความกตัญญู เป็นต้น
(กรุณา และเรืองอุไร กุศลาศัย, 2555)
3. การลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง (plot)
พล็อต หรือ โครงเรื่อง หรือ
การลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง ทั้งสามคำนี้ล้วนใช้ในความหมายเดียวกัน ในเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้
จะขอใช้คำว่าการลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง เพื่อให้เข้าใจตรงกัน
การลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง
จะเริ่มตั้งแต่การที่ผู้เขียนวางว่าจะเปิดเรื่องอย่างไร จะเรียงลำดับเหตุการณ์ต่อไปเช่นไร
และจะปิดเรื่องด้วยวิธีการใด
ทั้งสามส่วนที่เป็นสิ่งที่ผู้ประพันธ์จะวางลำดับเหตุการณ์ไว้
เพื่อสามารถนำไปสร้างสรรค์งานซึ่งวิธีการเรียงลำดับเหตุการณ์ในเรื่องนั้น มีหลายวิธี
เช่น
3.1 การลำดับเหตุการณ์โดยการเรียงตามปฏิทินหรือตามลำดับเวลา
การลำดับเหตุการณ์แบบนี้
คือการเล่าเรื่องราวไปตามลำดับเหตุการณ์ใดเกิดก่อน เหตุการณ์ใดเกิดหลัง
โดยการเรียงลำดับเหตุการณ์แบบนี้จะปรากฏมากในวรรณคดีประเภทสารคดี ตำรา
จดหมายและบันทึก เช่น เรื่องศิลาจารึกพ่อขุนตามคำแหง ไตรภูมิพระร่วง ไกลบ้าน
เป็นต้น
3.2 การลำดับเหตุการณ์โดยการเล่าเรื่องย้อนหลัง
การลำดับเหตุการณ์แบบนี้ จะเปิดเรื่องด้วยบทสรุปของเรื่องก่อน
แล้วจึงเล่าไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
3.3 การลำดับเหตุการณ์โดยการเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางของเรื่อง
การลำดับเหตุการณ์แบบนี้จะเปิดเรื่องด้วยตอนกลางของเรื่อง
ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญจากนั้นจึงใช้วิธีเล่าย้อนหลัง เพื่อเติมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน
แล้วดำเนินเรื่องต่อไปตามเหตุการณ์จนจบ เช่น เรื่องมหาภารตยุทธ นิทานเวตาล เป็นต้น
3.4 การลำดับเหตุการณ์โดยการเติมเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านั้น
การลำดับเหตุการณ์แบบนี้จะใช้การเติมเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด
แต่จะเกิดแน่ๆในตอนใดตอนหนึ่งข้างหน้าลงไปด้วย
ซึ่งในวรรณคดีไทยหลายเรื่องใช้การฝันถึงเหตุการณ์ที่จะเจอในอนาคต หรือการนิมิต เช่น ขุนช้างขุนแผน มัทนะพาธา เป็นต้น
3.5 การลำดับเหตุการณ์โดยการสลับเหตุการณ์
การลำดับเหตุการณ์แบบนี้
จะใช้ในกรณีที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์อีกสถานที่หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในเวลาตรงกัน เช่น เรื่องสามกรุง
เรื่องอิเหนา เป็นต้น
สรุป
กลวิธีของการประพันธ์ที่ผู้เรียนได้ศึกษาในบทนี้
คือ การศึกษาวัตถุดิบ(material) แนวเรื่อง (theme) และการลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง(plot)
โดยผู้เรียนจะเห็นได้ว่าการศึกษาวัตถุดิบซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนย่อยที่นักประพันธ์ใช้เพื่อเรียบเรียงเรื่องราว
จะทำให้ผู้เรียนได้เห็นถึงวิธีการใช้วัตถุดิบต่างๆที่หลากหลายของนักประพันธ์ ซึ่งวรรณคดีแต่ละเรื่องนั้นจะไม่ได้ใช้วัตถุดิบเพียงองค์ประกอบเดียวเป็นแน่
ส่วนการศึกษาแนวเรื่องนั้น
จะทำให้ผู้ศึกษาสามารถจับประเด็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่องได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ว่านักประพันธ์ต้องการสื่อเนื้อหาใดเป็นสำคัญมาถึงผู้อ่าน อีกหนึ่งกลวิธีที่นักประพันธ์จะต้องกำหนดก่อนที่จะลงมือสร้างงานประพันธ์ขึ้นมา
คือการลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง
คำถามทบทวน
เอกสารอ้างอิง
กรุณา
และเรืองอุไร กุศลาสัย. (2555).
มหาภารตยุทธ (พิมพ์ครั้งที่14). กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์
จำกัด.
กรมศิลปากร (2506). ลิลิตพระลอ. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา.
พิทยาลงกรณ์,พระราชวรวงศ์เธอ
กรมหมื่น. (2505). สามกรุง. พระนคร: ไทยสัมพันธ์.
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ.
(2551). มัทนะพาธา (พิมพ์ครั้งที่ 27). กรุงเทพฯ: สกสค.
ลิไทย,พญา.
(2527). ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา.
วิภา กงกะนันทน์. (2556). วรรณคดีศึกษา.
กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว.
นิทานสองพี่น้อง
ตอบลบ